บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบต่างๆ
การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์
โพรเจกไทล์ (projectile) ในภาษาอังกฤษหมายถึงวัตถุที่ขว้างหรือยิงออกไป เช่น ก้อนหินที่ถูกขว้างออกไปหรือลูกกระสุนที่ถูกยิงออกไป ทั้งนี้ในบริเวณใกล้ผิวโลกตามปกติการเคลื่อนที่ของวัตถุดังกล่าวจะสังเกตได้ว่ามีวิถีโค้ง แต่จะโค้งอย่างใดโดยละเอียดและทำไมจึงโค้งเช่นนั้นจะได้ศึกษากันต่อไป การเคลื่อนที่ตามรูปแบบที่วัตถุดังกล่าวเคลื่อนที่ไป โดยเฉพาะเมื่อไม่มีแรงต้านทานของอากาศหรือแรงต้านทานมีผลน้อยจนไม่ต้องนำมาคิด จะเรียกว่า การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ (projectile motion) ในกรณีที่แรงต้านทานของอากาศมีผลต่อการเคลื่อนที่เนื่องจากวัตถุเบา หรือเนื่องจากเคลื่อนที่เร็วและมีการหมุน วิถีการเคลื่อนที่จะแตกต่างออกไปจากการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์และไม่นับเป็นการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ เช่น การเคลื่อนที่ของลูกแบดมินตัน ลูกกอล์ฟ ลูกฟุตบอลที่หมุน ฯลฯ
การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์เป็นการเคลื่อนที่ใน 2 มิติ คือเคลื่อนที่ในแนวระดับและแนวดิ่งพร้อมกัน ในแนวดิ่งเป็นการเคลื่อนที่ที่มีความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก (ซึ่งสม่ำเสมอในบริเวณใกล้ผิวโลก) ในขณะที่การเคลื่อนที่ในแนวราบไม่มีความเร่งเพราะไม่มีแรงกระทำในแนวระดับ ทำให้เส้นทางการเคลื่อนที่เป็นแนวโค้ง เส้นทางการเคลื่อนที่ของโพรเจกไทล์จะมีลักษณะเป็นเส้นโค้งแบบพาราโบลา เราสามารถศึกษาแนวการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ได้ดังการทดลอง 4.1 ท้ายบทนี้
รูป 4.1 เส้นทางการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์
จากการทดลองให้ลูกกลมโลหะกลิ้งลงมาตามรางเข้าชนเป้า และทำเครื่องหมายบนกระดาษกราฟให้ตรงกับจุดที่ลูกกลมกระทบเป้า ถ้าเลื่อนเป้าไปหลายตำแหน่ง แล้วลากเส้นผ่านจุดบนกระดาษกราฟ จะได้เส้นทางการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ของลูกกลมโลหะ อุปกรณ์ดังแสดงในรูป 4.2
รูป 4.2 เครื่องมือสำหรับหาแนวการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์
ถ้ากำหนดให้จุดแรกของการชนบนกรดาษกราฟเป็นจุดกำเนิดของแกน x และ แกน y ดังรูป 4.2 วัดการกระจัด x ในแนวระดับ และการกระจัด y ในแนวดิ่งของจุดต่างๆ แล้วเขียนกราฟระหว่าง y กับ ซึ่งจะได้กราฟเส้นตรงผ่านจุดกำเนิด
ดังนั้น หรือ เมื่อ k เป็นค่าคงตัวของการแปรผัน
เนื่องจาก รูปสมการ เป็นสมการพาราโบลา แสดงว่าแนวการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์มีแนวการเคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งพาราโบลา โดยมีการกระจัดทั้งแนวดิ่งและแนวระดับพร้อมกัน
จะเห็นว่าการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์มีทั้งการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งและแนวระดับพร้อมกัน การเคลื่อนที่ทั้งสองแนวมีความสัมพันธ์กันอย่างไร และโพรเจกไทล์เคลื่อนที่ด้วยความเร่ง เช่นเดียวกับวัตถุแบบเสรีหรือไม่ ให้ศึกษาจากกิจกรรมต่อไปนี้
รูป 4.3 การวางเหรียญที่ขอบโต๊ะและบนไม้บรรทัด
นำเหรียญขนาดเท่ากันมา 2 เหรียญโดยวางเหรียญแรกไว้ที่ขอบโต๊ะ อีกเหรียณหนึ่งวางบนไม้บรรทัดที่วางราบและยื่นออกนอกขอบโต๊ะดังรูป 4.3 ใช้มือหนึ่งกดไม้บรรทัดที่อยู่บนโต๊ะ อีกมือหนึ่งจับไม้บรรทัดอีกอันหนึ่งให้อยู่ในแนวดิ่ง ใช้สันไม้บรรทัดในแนวดิ่งเคาะที่สันไม้บรรทัดที่วางอยู่บนโต๊ะ ให้เคลื่อนที่ไปในแนวระดับอย่างรวดเร็ว ทำให้เหรียญบนไม้บรรทัดตกแบบเสรี และเหรียญที่วางบนโต๊ะเคลื่อนที่ออกไปในแนวระดับจากขอบโต๊ะ ซึ่งเป็นการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ดังรูป 4.4 ฟังเสียงที่เหรียญทั้งสองตกกระทบพื้นว่าพร้อมกันหรือไม่ อาจทำซ้ำโดยใช้ความเร็วในการปัดไม้บรรทัดขนาดต่างๆ กัน จะพบว่าเหรียญทั้งสองตกถึงพื้นพร้อมกันจนได้ยินเป็นเสียงเดียวหรือเกือบเป็นเสียงเดียวซึ่งเวลาที่แตกต่างกันน้อยมาก
รูป 4.4 เหรียญตกแบบเสรีและเหรียญเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์
เหรียญบนโต๊ะที่ถูกปัดด้วยขนาดของแรงไม่เท่ากัน เหรียญหนึ่งจะมีความเร็วเริ่มต้นในแนวระดับต่างกันเหรียญที่มีความเร็วในแนวระดับมาก จะตกถึงพื้นในระยะทางไกลกว่าเหรียญที่มีความเร็วในเร็วระดับน้อยกว่า สำหรับเวลาในการเคลื่อนที่ พบว่าเหรียญที่ตกในแนวดิ่งแบบเสรี และเหรียญที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ตกถึงพื้นพร้อมกันทุกกรณี แสดงว่าช่วงเวลาที่ใช้ในการตกถึงพื้นของเหรียญที่ตกในแนวดิ่งแบบเสรีกับเหรียญที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์มีค่าเท่ากัน ทำให้สรุปได้ว่า การเคลื่อนที่ในแนวดิ่งของการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ เป็นเช่นเดียวกับการตกในแนวดิ่งและไม่ขึ้นกับความเร็วในแนวระดับของโปรเจกไทล์
ต่อไปทดลองเช่นเดิมแต่โดยเปลี่ยนความสูงของโต๊ะ เวลาที่เหรียญตกถึงพื้นจะเปลี่ยนไป แต่เหรียญทั้งสองก็ยังคงตกถึงพื้นพร้อมกันเช่นเดิม สรุปได้ว่าเหรียญที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์จะเคลื่อนที่ตัวด้วยความเร่ง เช่นเดียวกับเหรียญที่ตกแบบเสรี และแสดงว่าการเคลื่อนที่ในแนวระดับไม่มีผลต่อการเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง หรือกล่าวว่าการเคลื่อนที่ทั้งสองแนวเป็นอิสระต่อกัน
สรุปได้ว่า วัตถุที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ มีการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งและแนวระดับพร้อมๆ กัน การเคลื่อนที่ในแนวดิ่งเป็นการเคลื่อนที่เป็นการเคลื่อนที่ด้วยความเร่งคงตัว ส่วนการเคลื่อนที่ในแนวระดับเป็นการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงตัวเพราะไม่มีแรงลัพธ์ในแนวระดับกระทำ ในการวิเคราะห์การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ เราสามารถพิจารณาการเคลื่อนที่ทั้งสองแนวแยกจากกันได้
การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ในแนวระดับ
การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ของวัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วต้นในแนวระดับ จะมีเส้นทางเคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งพาราโบลา ดังรูป 4.5 และเคลื่อนที่ด้วยความเร็วในแนวระดับคงตัวตลอดเวลาเพราะไม่มีความเร่งในแนวนี้
รูป 4.5 การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ด้วยความเร็วต้นในแนวระดับ
จากรูป 4.5 ให้แกน x เป็นแนวการเคลื่อนที่วัตถุตามแนวระดับ แกน y เป็นแนวการเคลื่อนที่ของวัตถุตามแนวดิ่ง เป็นความเร็วชองวัตถุในแนวระดับซึ่งมีค่าคงตัวถ้าให้วัตถุอยู่ที่ตำแหน่ง B เมื่อเวลาผ่านไป t จะได้การกระจัดในแนวระดับเป็น
(4.1)
การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ในแนวดิ่ง
จากรูป 4.5 เมื่อพิจารณาการเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง ซึ่งเป็นการตกแบบเสรี วัตถุ จะเคลื่อนที่ลงด้วยความเร่ง g ความเร็วของวัตถุในแนวดิ่งที่ตำแหน่ง A,B,C จึงไม่เท่ากัน เราสามารถหาความเร็วในแนวดิ่ง ที่ตำแหน่ง B คือ ได้จากสมการ v = u + at และเนื่องจากความเร็วในตอนเริ่มต้นการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งเป็นศูนย์ จึงได้
.
ส่วนการกระจัดในแนวดิ่งที่ตำแหน่ง B คือ หาได้จากสมการเป็น
(4.2)
ตัวอย่าง 4.1 ถ้าถือปืนที่ยิงด้วยแรงอัดของสปริงเล็งไปยังเป้า โดยให้ลำกล้องปืนขนานกับพื้นและสูงจากพื้น 6.0 เมตร ส่วนปากลำกล้องปืนห่างจากเป้า 4.0 เมตร เมื่อทำการยิงลูกปืนที่ออกจากปากลำกล้องปืนด้วยความเร็ว 5.0 เมตรต่อวินาที ในขณะเดียวกันเป้าตกแบบเสรีสู่พื้น ขณะลูกกลมเหล็กกระทบเป้า เป้าอยู่สูงจากพื้นเท่าใด
รูป 4.6 ยิงเป้าขณะตกแบบเสรี
วิธีทำ
สมมติลูกเหล็กกระทบเป้าเมื่อเป้าตกลงมาถึงระดับที่สูงจากพื้น h เมตร เวลาที่ลูกเหล็กเคลื่อนที่ในแนวระดับในตระยะทาง 4.0 เมตร ด้วยความเร็วคงตัวที่ได้ระยะทางนั้น
ระยะ = อัตราเร็ว x เวลาที่เคลื่อนที่ได้ระยะทางนั้น
แทนค่าจะได้ 4.0 m = (5.0 m/s) t
T = 0.8 s
เนื่องจากลูกเหล็กและเป้าต่างใช้เวลาเท่ากันในการเคลื่อนที่จากระดับความสูงเดียวกันลงสู่ตำแหน่งที่ระดับความสูงเดียวกัน ซึ่งในที่นี้คือ 0.8 วินาที ดังนั้นในขณะที่ทั้งสองเคลื่อนที่มากระทบกันจะหาระยะที่ลูกเหล็กตกลงมาในเวลา 0.8 วินาทีได้จาก
(6.0 – h ) m =
= 3.1 m
ขณะลูกเหล็กกระทบเป้า ความสูงของเป้าจากพื้นคือ h = 6.0 m – 3.1 m = 2.9 m
คำตอบ เป้าอยู่สูงจากพื้น 2.9 เมตรขณะลูกเหล็กกระทบเป้า
ระยะทางแนวระดับของโพรเจกไทล์
การวิเคราะห์การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ที่ผ่านมานั้น วัตถุเริ่มเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต้นในแนวระดับ ต่อไปจะศึกษาการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ที่มีความเร็วต้นของวัตถุอยู่ในทิศทำมุมกับแนวระดับดังที่เห็นในการพุ่งแหลน การทุ่มน้ำหนัก เป็นต้น
รูป 4.7 เคลื่อนที่ด้วยความเร็วต้นในทิศทำมุม กับแนวระดับ
ในวัตถุเคลื่อนที่ออกจากจุดกำเนิดของระบบแกนมุมฉาก x , y ด้วยความเร็วต้น ในทิศทำมุม กับแกน x หรือพื้นระดับการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์นี้เป็นแนวการเคลื่อนที่แบบโค้งพาราโบลาคว่ำ ดังรูป 4.7 การวิเคราะห์การเคลื่อนที่ในลักษณะนี้จะแยกแกเป็นการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งด้วยความเร่งคงตัว และการเคลื่อนที่ในแนวระดับด้วยความเร็วคงตัว
การเคลื่อนที่ในแนวระดับ วัตถุจะเคลื่อนที่ในแนวระดับด้วยความเร็วคงตัว ซึ่งเป็นความเร็วองค์ประกอบของ ในแนวระดับ ถ้าวัตถุเคลื่อนที่ได้การกระจัดในแนวระดับ ในแนว t จะได้
การเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง ในการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งจะมีปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ทั้งทิศขึ้นและลงในแนวดิ่ง ดังนั้น จึงกำหนดให้ปริมาณที่มีทิศขึ้นในแนวดิ่งมีเครื่องหมาย + และปริมาณที่มีทิศลงในแนวดิ่งมีเครื่องหมาย –
พิจารณาช่วงเวลา t ที่วัตถุเคลื่อนที่ขึ้นจนกระทั่งตกถึงพื้นระดับโดยการเคลื่อนที่มีความเร็วต้นเป็น และความเร่ง – g และเนื่องจากจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายของการเคลื่อนที่อยู่ในระดับเดียวกันจึงได้การกระจัดเป็นศูนย์ ดังนั้นจาก
จะได้
แทนค่า เป็นศูนย์ได้ t
ช่วงเวลา นี้เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับช่วงเวลาที่วัตถุเคลื่อนที่ในแนวระดับจากจุดเริ่มต้นถึงจุดสุดท้าย ดังนั้นระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ในแนวระดับ<b>จากเริ่มต้นจนตกถึงพื้นระดับเดิม หรือ ระยะตก (range)</b> ของวัตถุจะเป็น
(4.3)
นั่นคือ ระยะทางที่เคลื่อนที่ได้ในแนวระดับหรือขนาดการกระจัดของวัตถุในแนวระดับ สำหรับขนาดความเร็วต้นค่าหนึ่งๆ จะขึ้นอยู่กับมุม ซึ่งเป็นมุมที่ความเร็วต้นทำกับแนวระดับ <b>มุมที่ทำให้ มีค่าได้สูงสุดคือเมื่อ มีค่าสูงสุดคือ 1 และได้ </b>
ตัวอย่าง 4.2 การแข่งขันทุ่มน้ำหนัก นักกีฬาคนหนึ่งทุ่มลูกน้ำหนักด้วยความเร็วต้น 10 เมตรต่อวินาที ในทิศทำมุม 42 องศากับพื้น ลูกน้ำหนักจะขึ้นไปสูงสุดจากพื้นเท่าใด และตกห่างจากจุดเริ่มต้นกี่เมตรในแนวระดับ ถ้าลูกน้ำหนักเคลื่อนที่ออกจากมือนักกีฬาในขณะอยู่สูงจากพื้น 1.80 เมตร กำหนด และ
วิธีทำ แยกแนวการเคลื่อนที่ของลูกน้ำหนักเป็นแนวระดับและแนวดิ่ง โดยความเร็วในแนวระดับมีค่าคงตัวเท่ากับความเร็วองค์ประกอบในแนวระดับของความเร็วต้นและความเร็วเริ่มต้นในแนวดิ่งเท่ากับความเร็วองค์ประกอบในแนวดิ่งของความเร็วต้นที่มีค่า 10 m/s
รูป 4.8 แสดงแนวทางการเคลื่อนที่ของลูกน้ำหนัก
การเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง
กำหนดปริมาณที่มีทิศในแนวดิ่งขึ้นเป็น + และแนวดิ่งลงเป็น – และให้ระยะสูงสุดของลูกน้ำหนักเมื่อเทียบกับระดับเริ่มต้นเคลื่อนที่ เป็น h ในที่นี้ลูกน้ำหนักมีความเร็วต้น u ในแนวดิ่งซึ่งเท่ากับ และความเร่งเป็น -9.8 โดยมีความเร็วสุดท้ายที่ตำแหน่งสูงสุดเป็นศูนย์
จาก = + 2as
แทนค่า (h m)
h = 2.28 m
เนื่องจากขณะที่เริ่มเคลื่อนที่ ลูกน้ำหนักอยู่สูงจากพื้น 1.80 m ดังนั้นลูกน้ำหนักจะขึ้นไปสูงสุด
จากพื้น = 1.80 m + 2.28 m = 4.08 m
คำตอบ ลูกน้ำหนักขึ้นไปสูงสุดจากพื้น เท่ากับ 4.08 เมตร
การเคลื่อนที่ในแนวระดับ
เนื่องจากช่วงเวลาของการเคลื่อนที่ในแนวระดับ จะเท่ากับเวลาที่ลูกน้ำหนักเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง นับตั้งแต่ลูกเหล็กออกจากมือถึงจุดสุดท้าย จะได้ การกระจัด = -1.80 m โดยลูกน้ำหนักมีความเร็วต้น และความเร่ง เราสามารถหาช่วงเวลา t 0นับตั้งแต่ลูกน้ำหนักออกจากมือจนตกถึงพื้นได้จาก
แทนค่า -1.80 =
t = 1.59 s
สำหรับการกระจัดในแนวระดับ หาได้จาก
แทนค่า
ได้ = 11.82 m
คำตอบ ลูกน้ำหนักตกห่างจากจุดเริ่มต้นในแนวระดับ 11.82 เมตร
การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ที่กล่าวมานี้ไม่ได้คิดถึงแรงต้านจากอากาศและแรงอื่นๆ เช่น แรงลม แรงหนึด ความแตกต่างของสนามโน้มถ่วง ฯลฯ ซึ่งต่างก็มีผลต่อการเคลื่อนที่ของโพรเจกไทล์ทั้งสิ้น แนวการเคลื่อนที่ของวัตถุที่คิดถึงแรงต่างๆ เหล่านี้จึงมักไม่เป็นพาราโบลาที่สมบูรณ์ เช่น ลำน้ำที่ถูกฉีดออกจากท่อน้ำดับเพลิงหรือสายยางรดน้ำต้นไม้ ถ้าไม่คิดแรงต้านอากาศแนวการเคลื่อนที่ของลำน้ำจะเป็นเส้นโค้งพาราโบลา แต่ความเป็นจริงอากาศมีแรงต้านทานต่อการเคลื่อนที่ของลำน้ำ ดังนั้นแนวการเคลื่อนที่ของลำน้ำอาจจะไม่เป็นเส้นโค้งพาราโบลา ดังรูป 4.9 โดยเฉพาะเมื่อปลายลำน้ำแตกเป็นฝอย อย่างไรก็ตามความรู้เกี่ยวกับโพรเจกไทล์ สามารถใช้ทำนายการเคลื่อนที่ของโพรเจกไทล์ได้โดยประมาณอาจได้ผลถูกต้องพอควรสำหรับโพรเจกไทล์ที่แรงต้านอากกาศมีผลต่อการเคลื่อนที่น้อย
การเคลื่อนที่แบบวงกลม
รูป 4.10 การเคลื่อนที่แบบวงกลมหรือส่วนของวงกลม
การเคลื่อนที่แบบวงกลมเป็นการเคลื่อนที่อีกแบบหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะการเคลื่อนที่หลายอย่างรอบตัวเรา มีส่วนที่จะเป็นการเคลื่อนที่เป็นวงกลม ตัวอย่างเช่น การเคลื่อนที่ดังรูป 4.10 รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์กำลังเลี้ยวโค้ง รถไฟตีลังกา หรือดาวเทียมโคจรรอบโลก นับเป็นการเคลื่อนที่แบบวงกลมหรือส่วนของวงกลม รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และ ดาวเทียม เคลื่อนที่ในแนววงกลมหรือส่วนของวงกลม ได้อย่างไร หรือทำไมการเคลื่อนที่เป็นแบบนั้นๆ ได้ จะศึกษาต่อไป
เพื่อความเข้าใจการเคลื่อนที่เป็นวงกลม เราควรเริ่มศึกษาจากการเคลื่อนที่เป็นวงกลมที่มีอัตราเร็วคงตัวก่อน นั่นคือการเคลื่อนที่ที่มีขนาดของความเร็วเท่าเดิม สม่ำเสมอแต่มีทิศเปลี่ยนไปทีละน้อย
รูป 4.11 การแกว่งวัตถุให้เคลื่อนที่เป็นวงกลมในระนาบระดับ
เราอาจหาประสบการณ์จากการแกว่งวัตถุที่ปลายเชือกให้เป็นวงกลมในระนาบระดับดังรูป 4.11 ในการแกว่งที่รัศมีค่าหนึ่ง เราจะรู้สึกว่า มือจะต้องใช้แรงดึงมากขึ้นเมื่อแกว่งให้เร็วขึ้น (เวลาครบรอบสั้นลง) แสดงว่าการทำให้วัตถุเคลื่อนที่เป็นวงกลมจะต้องใช้แรงดึง การแสดงว่า การเคลื่อนที่เป็นวงกลมหรือการเคลื่อนที่เป็นแนวโค้งของวัตถุต้องใช้แรงก็คือ การใช้อุปกรณ์สาธิตที่ดีดลูกกลมโลหะให้เคลื่อนที่ไปตามรางโค้งวงกลม ดังรูป 4.12 จะสังเกตได้ว่าเมื่อสุดรางโค้ง ลูกโลหะจะวิ่งตรงต่อไป แสดงว่าวัตถุวิ่งโค้งได้เนื่องจากมีรางบังคับ และจะต้องมีแรงจากรางกระทำอยู่ตลอดเวลา แรงดังกล่าวเป็นแรงกระทำจากขอบรางซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากลูกกลมโลหะเคลื่อนที่สัมผัสกับราง ณ ตำแหน่งต่างๆ ในทิศตั้งฉากกับราง จึงมีทิศเข้าหาศูนย์กลางของการเคลื่อนที่ดังรูป 4.13
รูป 4.12 ลูกกลมโลหะเคลื่อนที่ไปตามรางโลหะที่เป็นส่วนโค้งวงกลม
รูป 4.13 แรงกระทำกับลูกกลมโลหะขณะเคลื่อนที่ไปตารางโค้ง
การเคลื่อนที่แบบวงกลมมีความเร่งสู่ศูนย์กลาง
เราอาจพิสูจน์ได้ว่าวัตถุเคลื่อนที่เป็นวงกลมมีความเร่ง จากความหมายของความเร่ง คือ อัตราการเปลี่ยนความเร็ว การเคลื่อนที่เป็นวงกลมที่มีขนาดของความเร็วคงตัว แต่มีการเปลี่ยนทิศของความเร็วตลอดเวลา ซึ่งจะถือว่ามีการเปลี่ยนความเร็ว และมีความเร่งดังต่อไปนี้
พิจารณาการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนววงกลมรัศมี r ด้วยขนาดความเร็วคงตัว v จากตำแหน่ง A ไปยังตำแหน่ง B โดยผ่านตำแหน่ง C ที่อยู่บนแกน y ดังรูป 4.14 ถ้าให้ A และ B อยู่ห่างจากแกน y เท่ากัน และที่ตำแหน่ง A กับ B วัตถุมีความเร็ว และ ตามลำดับ
รูป 4.14 การเปลี่ยนแปลงความเร็วของวัตถุซึ่งเคลื่อนที่ในแบบวงกลม
เมื่อพิจารณาแต่ขนาดของ และ จะได้ และจะได้ว่า
ความเร็วองค์ประกอบของ ในแนวแกน x =
ความเร็วองค์ประกอบของ ในแนวแกน y =
ความเร็วองค์ประกอบของ ในแนวแกน x =
ความเร็วองค์ประกอบของ ในแนวแกน y =
เมื่อ เป็นมุมระหว่างเส้นรัศมีมีที่ตำแหน่ง A กับ C หรือมุมระหว่างเส้นรัศมีที่ตำแหน่ง B กับ C พิจารณาช่วงเวลาที่วัตถุใช้ในการเคลื่อนที่จาก A ไป B ด้วยอัตราความเร็วคงตัว v จะได้
จากรูปเราสามารถหา ความยาวของส่วนโค้ง AB ได้เป็น ดังนั้น
สำหรับการเคลื่อนที่ของวัตถุบนส่วนโค้ง AB ความเร็วในแกน X ที่ A และที่ B จะมีค่าเท่ากันคือ
ดังนั้นความเร่งในแนวแกน X จึงเท่ากับศูนย์ และ
เราสามารถหาความเร่งเฉลี่ยตามแนวแกน y คือ ได้จาก
แทนค่า
เครื่องหมาย – แสดงว่า ความเร่ง มีทิศทางไป – y คือตำแหน่ง C เข้าหาจุด ศูนย์กลาง O
เมื่อให้มุมมีค่าน้อยจนเกือบเป็นศูนย์ เพื่อให้ A และ B เข้าใกล้ตำแหน่ง C ซึ่งอยู่ตรงส่วนบนสุดของวงกลม ดังนั้นความเร่ง ก็จะเป็นความเร่งขณะหนึ่งคือความเร่งที่ตำแหน่ง C มีทิศเข้าหาจุดศูนย์กลาง O ของวงกลม การหาขนาดของความเร่งขณะหนึ่งจะพิจารณาว่า เพราะ มีค่าน้อยเข้าใกล้ศูนย์ และจะได้
ซึ่งมีทิศเข้าสู่จุดศูนย์กลางของวงกลม
ในทำนองเดียวกัน ถ้าย้ายตำแหน่ง C มาอยู่บนแนวแกน X แทน โดยให้ A และ B อยู่ห่างจาก C เท่ากันเช่นเดิม ก็จะได้ว่าความเร่งขณะหนึ่งที่ตำแหน่ง C จะมีทิศในแนวแกน X และเข้าหาจุดศูนย์กลางเช่นเดิม และไม่ว่าจะย้าย C ไปอยู่ที่ตำแหน่งใดบนเส้นรอบวงกลม ก็จะได้ว่าความเร่งขณะหนึ่งที่ตำแหน่ง C มีทิศเข้าหาจุดศูนย์กลางเสมอ
ดังนั้นถ้าให้ เป็นความเร่งขณะหนึ่งที่มีทิศเข้าสู่ศูนย์กลางวงกลม
จะได้ (4.4)
เมื่อวัตถุมีความเร่งทิศเข้าสู่ศูนย์กลาง ดังนั้นวัตถุเคลื่อนที่ในแนววงกลมด้วยอัตราเร็วคงตัว ต้องมีแรงสู่ศูนย์กลางกระทำต่อวัตถุตามกฎของนิวตัน แรงสู่ศูนย์กลาง จะเป็น
(4.5)
เราสามารถทำการทดลองเพื่อสำรวจว่า การเคลื่อนที่แบบวงกลมมีแรงสู่ศูนย์กลางหรือไม่ หรือเพื่อพิสูจน์ว่าแรงสู่ศูนย์กลางเป็นไปตามสมการ (4.5) หรือไม่ ดังรายละเอียดท้ายบท
การเคลื่อนที่บนโค้ง
ในกรณีของรถยนต์ที่กำลังเลี้ยวโค้ง แรงเสียดทานที่พื้นถนนกระทำกับด้านข้างของยางรถจะเป็นแรงสู่ศูนย์กลางที่ทำให้รถยนต์เลี้ยวโค้งได้ และเนื่องจากแรงเสียดทานมีค่าจำกัดขึ้นกับสภาพถนนและยางรถ ดังนั้นแรงสู่ศูนย์กลางที่เป็นไปได้จึงมีค่าจำกัดด้วย ถ้าถนนมีรัศมีความโค้งขนาดหนึ่ง อัตราเร็วที่รถวิ่งขณะเลี้ยวโค้งจะต้องไม่มากเกินกว่าที่ถนนจะสามารถให้แรงเสียดทานทิศสู่ศูนย์กลางที่เป็นไปตามสมการ (4.4) ได้ หากอัตราเร็วเกินรถจะไถลออกนอกโค้ง ดังที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุที่เป็นข่าวบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อฝนตก ถนนลื่นแรงเสียดทานที่เป็นไปได้จะลดลง
ตัวอย่าง 4.3 รถยนต์มวล 1,000 กิโลกรัม แล่นด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลี้ยวโค้งบนถนน ที่มีผิวอยู่ในแนวระดับและมีทางโค้ง 2 โค้ง ซึ่งมีรัศมีความโค้ง 100 เมตร และ 500 เมตร ตามลำดับ
1. แรงสู่ศูนย์กลางที่กระทำต่อรถยนต์ในแต่ละกรณีมีค่าเท่าใด
2. ถ้าแรงเสียดทานที่พื้นถนนกระทำกับยางรถในทิศเข้าสู่ศูนย์กลางมีค่าสูงสุดเท่ากับ 1,000 นิวตัน จะมีผลอย่างไรต่อการเลี้ยวโค้งของรถยนต์ทั้งสองกรณี
วิธีทำ
1. กรณีที่ถนนระดับมีรัศมีความโค้ง 100 เมตร
จาก
ในที่นี้ m = 1000 kg, และ r = 100 m
แทนค่า
= 2,778 N
คำตอบ แรงสู่ศูนย์กลางกระทำต่อรถยนต์ขณะเลี้ยวโค้งบนถนนระดับรัศมีความโค้ง 100 เมตร เท่ากับ 2,778 นิวตัน
กรณีที่ถนนระดับมีรัศมีความโค้ง 500 เมตร
จาก
ในที่นี้ m = 1000 kg และ r = 500 m
แทนค่า
= 555.6 N
คำตอบ แรงสู่ศูนย์กลางกระทำต่อรถยนต์ขณะเลี้ยวโค้งบนถนนระดับรัศมีความโค้ง 500 เมตร เท่ากับ 555.6 นิวตัน
2. เนื่องจากแรงสู่ศูนย์กลางที่กระทำต่อรถยนต์มีค่าสูงสุด 1,000 นิวตัน รถยนต์จะต้องเลี้ยวโค้งด้วยแรงสู่ศูนย์กลางที่น้อยกว่าหรือเท่ากับแรงสู่ศูนย์กลางสูงสุดจึงจะเลี้ยวโค้งได้อย่างปลอดภัย
คำตอบ กรณีที่รัศมีของทางโค้ง 100 เมตร ต้องใช้แรงสู่ศูนย์กลางถึง 2,778 นิวตัน ดังนั้นรถยนต์จึงไม่สามารถเลี้ยวโค้งได้ เป็นเหตุให้รถไถลออกนอกถนน แต่กรณีที่รัศมีของทางโค้ง 500 เมตรจะใช้แรงสู่ศูนย์กลางเพียง 555.6 นิวตัน ดังนั้นรถยนต์จึงสามารถเลี้ยวโค้งได้อย่างปลอดภัย
จากตัวอย่าง 4.3 ทำให้วิเคราะห์ได้ว่ารถยนต์แล่นเลี้ยวโค้งบนถนนระดับที่มีรัศมีความโค้งไม่เท่ากันแต่ด้วยอัตราเร็วเท่ากัน จะมีแรงสู่ศูนย์กลางไม่เท่ากัน ทางโค้งที่มีรัศมีความโค้งสั้น รถยนต์จะใช้แรงสู่ศูนย์กลางมากกว่าทางโค้งที่มีรัศมีความโค้งยาว ดังนั้นรถยนต์ที่เลี้ยวโค้งที่มีรัศมีความโค้งน้อย ไม่ควรเลี้ยวด้วยอัตราเร็วเท่ากับการเลี้ยวโค้งบนทางที่มีรัศมีความโค้งมากกว่า เนื่องจากแรงเสียดทานที่ถนนกระทำกับรถซึ่งเป็นแรงสู่ศูนย์กลางมีค่าจำกัด อาจมีค่าไม่พอที่จะทำให้รถเลี้ยวโค้งได้อย่างปลอดภัย ผู้ขับขี่ยวดยานจึงต้องใช้ความเร็วตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องการให้รถเลี้ยวโค้งได้อย่างปลอดภัยด้วยอัตราเร็วที่มากขึ้น จำเป็นต้องหาแรงอื่นมาเสริมแรงเสียดทานเพื่อเพิ่มแรงสู่ศูนย์กลางขึ้นให้เหมาะสม
การเลี้ยวโค้งบนถนนระดับของรถจักรยานยนต์หรือรถจักรยาน ขณะรถจักรยานยนต์หรือรถจักรยานแล่นในแนวตรงบนถนนระดับ ถ้าพิจารณาแรงทั้งหมดที่กระทำกับรถและคนนอกจากแรงเสียดทานที่กระทำที่ล้อรถทำให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ ยังมีน้ำหนักของรถและคน และแรงที่พื้นดันรถและคนในทิศตั้งฉาก รถและคนจะต้องตั้งตรง แนวของ และ จึงจะผ่านศูนย์กลางมวลรวมของรถและคนและอยู่ในแนวดิ่ง ทำให้ไม่มีโมเมนต์ของแรงที่จะทำให้รถล้ม รถจึงไม่ล้ม ดังรูป 4.15 ก.
รูป 4.15 แสดงแรงกระทำต่อรถจักรยานยนต์
เมื่อรถจักรยานยนต์หรือรถจักรยานเลี้ยวโค้ง จะต้องมีแรงกระทำต่อรถเพิ่มอีก 1 แรง คือแรงเสียดทาน ที่พื้นถนนกระทำกับด้านข้างของล้อรถในทิศเข้าหาจุดศูนย์กลางของความโค้งรถจำเป็นต้องเอียงตัว เพื่อให้ไม่มีโมเมนต์ของแรงที่จุดศูนย์กลางมวล ดังรูป 4.15 ข.ถ้าคนและรถไม่เอียงตัว แรงลัพธ์ ของแรง และ จะไม่ผ่านศูนย์กลางมวล ดังรูป 4.15 คำให้มีโมเมนต์ของแรง (คิดรอบจุดศูนย์กลางมวล) เป็นเหตุให้มีการหมุนรอบจุดศูนย์กลางมวล และรถล้ม
การยกขอบของถนนโค้ง
รูป 4.16 แรงที่กระทำต่อรถขณะที่กำลังแล่นเลี้ยวโค้งบนถนเอียงทำมุมกับพื้นระดับ
เพื่อให้การเลี้ยวโค้งด้วยความเร็วเป็นไปได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยขึ้น พื้นถนนโค้งจะถูกยกให้เอียงโดยให้ขอบถนนด้านนอกสูงกว่าขอบด้านใน เมื่อรถแล่นเลี้ยวโค้งบนพื้นถนนที่เอียงด้วยขนาดของความเร็วพอดีตามที่วิศวกรออกแบบไว้ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ แรงที่ถนนกระทำต่อรถจะพอดีและอยู่ในทิศตั้งฉากกับพื้นเอียงได้ ที่ความเร็วนั้นจึงไม่มีแรงเสียดทาน ที่พื้นถนนกระทำต่อด้านข้างของล้อรถ องค์ประกอบของแรงตั้งฉากกับถนนในทิศขนานกับพื้นระดับ จะทำให้เกิดแรงสู่ศูนย์กลาง ดังรูป 4.17 โดยไม่ต้องอาศัยแรง ถ้ารถวิ่งด้วยอัตราเร็วที่ไม่พอดีรถจึงจะอาศัยแรง ช่วย องค์ประกอบของแรง ในแนวระดับคือเมื่อยกขอบถนนให้เอียงทำมุม กับแนวระดับและวิ่งด้วยอัตราเร็วพอดีจากรูป 4.16 แรงสู่ศูนย์กลางคือ
จาก
ดังนั้น
และ
ดังนั้น
หรือ (4.6)
สมการ 4.6 แสดงให้เห็นว่าในการสร้างถนนทางโค้งให้เอียงทำมุมกับแนวระดับนั้นต้องคำนึงถึงอัตราเร็วของรถขณะเลี้ยวและรัศมีของทางโค้งเพื่อให้การขับรถปลอดภัย
ตัวอย่าง 4.4 รถยนต์คันหนึ่งแล่นด้วยอัตราความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนถนนโค้งที่มีรัศมีความโค้ง 150 เมตร ถ้าไม่คิดแรงเสียดทาน พื้นถนนควรเอียงทำมุมเท่าไร กับแนวระดับรถจึงจะเลี้ยวได้อย่างปลอดภัย
วิธีทำ การหามุมที่พื้นถนนทำกับแนวระดับ หาได้จากสมการ
ในที่นี้ v = 16.67 m/s และ r = 150 m
แทนค่า
คำตอบ พื้นถนนจะต้องเอียงทำมุม 10.7 องศากับแนวระดับรถจึงจะเลี้ยวได้อย่างปลอดภัย
ตัวอย่าง 4.5 รถยนต์มวล 1,550 กิโลกรัม แล่นเลี้ยวบนถนนระดับ ซึ่งมีรัศมีความโค้ง 50 เมตร ด้วยอัตราเร็ว 36 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จงหาแรงเสียดทานระหว่างพื้นถนนกับยางรถที่มีค่าน้อยที่สุดที่ทำให้รถยนต์สามารถเลี้ยวได้อย่างปลอดภัย
วิธีทำ แรงเสียดทานระหว่างพื้นถนนกับยางรถที่มีค่าน้อยที่สุดที่ทำให้รถยนต์สามารถเลี้ยวโค้งได้ คือแรงสู่ศูนย์กลาง
จะได้แรงสู่ศูนย์กลาง ในที่นี้ m = 1,550 kg, v = 10 m/s และ r = 50 m
แทนค่า
จะได้แรงสู่ศูนย์กลาง [texF]_c[/tex] = 3,100 N
คำตอบ แรงเสียดทานระหว่างพื้นถนนกับยางรถที่มีค่าน้อยที่สุดทำให้รถยนต์สามารถเลี้ยวได้อย่างปลอดภัย เท่ากับ 3,100 นิวตัน
เราสามารถใช้ความรู้ที่ศึกษามานี้อธิบายการเคลื่อนที่แบบวงกลมในแนวระดับของวัตถุในลักษณะอื่นๆ ได้ เช่น เพนดูลัมกรวย ได้เช่นกัน
ตัวอย่าง 4.6 ถ้าแกว่งเชือกยาว l ซึ่งเป็นวัตถุมวล m ผูกที่ปลายให้เคลื่อนที่แบบเพนดูลัมกรวย รัศมีของการเคลื่อนที่แบบวงกลมเท่ากับ r และวัตถุเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วคงตัว v จงหามุม ที่เส้นเชือกทำกับแนวดิ่ง
รูป 4.17 แสดงแรงกระทำต่อวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่แบบเพนดูลัม
วิธีทำ
ให้ T เป็นแรงดึงในเส้นเชือก แรงองค์ประกอบของ T ในแนวระดับเท่ากับ ซึ่งเป็นแรงสู่ศูนย์กลาง
จาก
แทนค่า
แรงองค์ประกอบของ T ในแนวดิ่งคือ ซึ่งมีขนาดเท่ากับน้ำหนัก mg แต่กระทำต่อวัตถุในแนวตรงข้ามกัน ในสมดุล
จะได้
คำตอบ มุมที่เส้นเชือกทำกับแนวดิ่งเท่ากับ
การเคลื่อนที่แบบวงกลมในระนาบดิ่ง
การเคลื่อนที่แบบวงกลมในระนาบดิ่ง ได้แก่ การเคลื่อนที่ของลูกกลมโลหะไปตามรางรูปวงกลมในระนาบดิ่ง ทุกๆ หนแห่งที่ลูกกลมโลหะเคลื่อนที่ผ่านจะมีแรงสู่ศูนย์กลางกระทำต่อลูกกลมโลหะเพื่อเปลี่ยนทิศของความเร็ว แรงสู่ศูนย์กลางมีค่าอย่างไรเมื่อลูกกลมโลหะอยู่ ณ ตำแหน่งต่างๆ ในรางรูปวงกลมจะต้องระลึกว่า เพราะลูกกลมถูกแรงโน้มถ่วงกระทำอยู่ตลอดเวลาด้วย ผลของแรงโน้มถ่วงที่กระทำนี้ จะทำให้อัตราเร็วของการเคลื่อนที่ไม่สามารถจะรักษาให้คงตัวได้ แต่จะต้องเป็นไปตามหลักการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งจะได้เรียนในบทต่อไป
รูป 4.18 การเคลื่อนที่เป็นวงกลมในระนาบดิ่ง
การคิดหาค่าแรงที่ต้องการที่จะกระทำให้วัตถุวิ่งโค้ง อาจทำได้ตามหลักเกณฑ์ปกติ เช่น กรณีลูกกลมโลหะอยู่ ณ ตำแหน่งล่างสุดของรางวงกลม แรงที่รางกระทำกับวัตถุจะเป็นเท่าใด ขณะที่วัตถุมีอัตราเร็ว v และรางมีรัศมีความโค้งเป็น r
รูป 4.19 แรงต่อการเคลื่อนที่เป็นวงกลมในระนาบดิ่งที่จุดต่ำสุด
ถ้าให้ เป็นแรงสู่ศูนย์กลาง จะได้
แสดงว่า แรงที่รางดันลูกกลมโลหะในทิศตั้งฉาก
กับราง
แรงกระทำต่อวัตถุที่ตำแหน่งอื่นอาจจะหาได้ในทำนองเดียวกัน
ตัวอย่าง 4.7 ผูกวัตถุมวล 1 กิโลกรัม ด้วยเส้นเชือกยาว 1 เมตร แกว่งวัตถุให้เคลื่อนที่เป็นแนววงกลมในระนาบดิ่ง จงหาอัตราเร็ว ณ ตำแหน่งสูงสุด เมื่อแรงดึงในเส้นเชือกเท่ากับ 6 นิวตัน (กำหนดให้ g = 10 เมตร/วินาที )
รูป 4.20 สำหรับตัวอย่าง 4.7
วิธีทำ
อัตราเร็ว ณ ตำแหน่งสูงสุดสามารถหาได้จาก
ในที่นี้แรงสู่ศูนย์กลางมาจากแรงดึงและน้ำหนักดังนั้น
= (1kg ) x (10 m/s ) +6N
=
แทนค่ามวลและรัศมี จะได้ = 16 หรือ v = 4.0 m/s
คำตอบ อัตราเร็ว ณ ตำแหน่งสูงสุดเท่ากับ 4.0 เมตรต่อวินาที
อัตราเร็วเชิงมุม
การเคลื่อนที่ของวัตถุในแนววงกลมเป็นการเคลื่อนที่ในระนาบ xy ด้วยอัตราเร็วคงตัวระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไปได้ใน 1 หน่วยเวลาเป็นอัตราเร็วเชิงเส้น นอกจากวัตถุจะมีอัตราเร็วเชิงเส้นแล้วยังมีอัตราเร็วเชิงมุมซึ่งหมายถึง มุมที่รัศมีกวาดไปได้ใน 1 หน่วยเวลา ในรูป 4.21 แสดงให้เห็นว่าเราใช้มุม ที่วัตถุกวาดไปบนเส้นรอบวงกลมบอกตำแหน่งของวัตถุได้ ซึ่ง โดย s เป็นระยะทางบนส่วนโค้งวงกลมที่วัตถุกวาดไป และ r เป็นรัศมีวงกลม มุม ที่กำหนดในลักษณะนี้จะวัดเป็นเรเดียนซึ่งเป็นค่าตัวเลขการเปรียบเทียบตำแหน่งบนเส้นรอบวงกลมจากแนวอ้างอิง (ในรูปนี้คือแนวแกน x)
เนื่องจากความยาวของเส้นรอบวงกลม 1 รอบคือ ดังนั้นมุมที่กวาดไปครบ 1 รอบจึงเป็น เรเดียน
รูป 4.21 แสดงวัตถุเคลื่อนที่ในแนววงกลมจาก A ไป B
จากรูป 4.21 วัตถุเคลื่อนที่ในแนววงกลมรัศมี r ด้วยอัตราเร็วคงตัว v ถ้าวัตถุเคลื่อนที่จาก A ไป B ใช้เวลา t และรัศมีวงกลมกวาดไปเป็นมุม ค่ามุมที่กวาดไปได้ในเวลา 1 หน่วยเวลาเรียกว่า อัตราเร็วเชิงมุม ใช้สัญลักษณ์ มีหน่วยเป็น เรเดียนต่อวินาที หรือ rad/s จะหาค่าได้จาก
(4.7)
ถ้าวัตถุเริ่มเคลื่อนที่จาก A ไปตามเส้นรอบวงกลมและกลับมาที่ A อีกครั้งหนึ่ง เป็นการเคลื่อนที่ครบ 1 รอบ จะได้เวลาในการเคลื่อนที่ครบ 1 รอบ คือ คาบ T และมุมที่รัศมีกวาดไปครบ 1 รอบเป็น เรเดียน
ดังนั้น (4.8)
และในการเคลื่อนที่ครบ 1 รอบ จะได้ระยะทาง
ดังนั้น อัตราเร็วเชิงเส้น (4.9)
จะได้ความสัมพันธ์ระหว่าง v กับ เป็น
จาก
จะได้ (4.10)
จาก
จะได้ (4.11)
สมการ (4.10) และ (4.11) เป็นการเขียนความเร่งและแรงสู่ศูนย์กลางในรูปของอัตราเร็วเชิงมุม
ตัวอย่าง 4.8 โลกหมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ ใช้เวลา 24 ชั่วโมง และรัศมีของโลกเท่ากับ 6.37 x 106เมตร จงคำนวณหา
ก.อัตราเร็วเชิงมุมของวัตถุบนผิวโลก
ข.อัตราเร็วเชิงเส้นและขนาดของความเร่งสู่ศูนย์กลางของวัตถุที่อยู่บนเส้นศูนย์สูตรของโลก
วิธีทำ
วัตถุบนโลกเคลื่อนที่ในแนววงกลมตลอดเวลา และเคลื่อนที่ครบ 1 รอบใช้เวลา 24 ชั่วโมง เนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเอง
ก. หาอัตราเร็วเชิงมุมของวัตถุ
จาก
ในที่นี้ T = 86400 s
แทนค่า
คำตอบ อัตราเร็วเชิงมุมของวัตถุบนผิวโลกเท่ากับเรเดียนต่อวินาที
ข. หาอัตราเร็วเชิงเส้นของวัตถุที่อยู่บนเส้นศูนย์สูตร
จาก
ซึ่ง และ r = 6.37x 106 m
แทนค่า
คำตอบ อัตราเร็วเชิงเส้นของวัตถุที่อยู่บนเส้นศูนย์สูตร 463 เมตรต่อวินาที
หาขนาดของความเร่งสู่ศูนย์กลางของวัตถุที่อยู่บนเส้นศูนย์สูตรของโลก
จาก
แทนค่า
คำตอบ ขนาดของความเร่งสู่ศูนย์กลางของวัตถุที่อยู่บนเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่ากับ
หมายเหตุ จากตัวอย่าง 4.8 จะเห็นว่าวัตถุที่อยู่บนผิวโลกมีความเร่งสู่ศูนย์กลาง ดังนั้น กรอบอ้างอิงที่อยู่บนผิวโลกจึงไม่ใช่กรอบอ้างอิงเฉื่อยที่แท้จริง แต่เราประมาณว่าเป็นกรอบอ้างอิงเฉื่อย
การเคลื่อนที่ของดาวเทียม
ดาวเทียมที่โคจรรอบโลกมีเป็นจำนวนมาก ดาวเทียมแต่ละดวงจะทำหน้าที่ต่างๆ กัน เช่น ดาวเทียมอุตุนิยมดาวเทียมสำรวจทรัพยากร ดาวเทียมสื่อสารและดาวเทียมจารกรรมททางทหารเป็นต้น ดาวเทียมแต่ละดวงมีรัศมีวงโคจรต่างกันแต่ต่างก็เคลื่อนที่รอบโลกในแนววงกลม โดยมีแรงที่โลกดึงดูดดาวเทียมเป็นแรงสู่ศูนย์กลางกระทำต่อดาวเทียม ดาวเทียมแต่ละดวงจะเคลื่อนที่รอบโลกด้วยอัตราเร็วอย่างไร
รูป 4.22 การเคลื่อนที่ของดาวเทียมรอบโลก
จากรูป 4.22 ดาวเทียมมวล m โคจรรอบโลกด้วยอัตราเร็ว v ณ ตำแหน่งวงโคจรซึ่งห่างศูนย์กลางของโลกเป็นระยะ r ให้ M เป็นมวลของโลก เป็นแรงสู่ศูนย์กลางซึ่งเป็นแรงดึงดูดที่โลกกระทำกับดาวเทียม และหาค่าของแรงนี้ได้จากกฎแรงดึงดูดระหว่างของนิวตัน
ดังนั้น
(4.12)
จากสมการ (4.12) จะเห็นว่า ดาวเทียมที่มีรัศมีวงโคจรต่างกันจะเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วเชิงเส้นต่างกันด้วย
การส่งดาวเทียมขึ้นไปสู่วงโคจรต่างๆ รอบโลกนั้น ได้มีการกำหนดรัศมีวงโคจรไว้ก่อน แล้วคำนวณหาแรงสู่ศูนย์กลางที่กระทำกับดาวเทียมและอัตราเร็วเชิงเส้นในวงโคจรนั้นๆ เมื่อยิงดาวเทียมขึ้นไปจนมีความสูงหรือรัศมีของการโคจรตามต้องการแล้ว จึงปรับทิศทางและอัตราเร็วของดาวเทียมเพื่อให้เข้าสู่วงโคจรรอบโลกตามที่กำหนดไว้
เมื่อสังเกตดาวเทียมสื่อสารจากพื้นโลก จะเห็นดาวเทียมสื่อสารอยู่ ณ ตำแหน่งเดิมตลอดเวลา ที่เป็นเช่นนี้ เพราะดาวเทียมสื่อสารมีคาบของการโคจรรอบโลกเท่ากับคาบการหมุนของโลกรอบตัวเอง หรืออัตราเร็วเชิงมุมของดาวเทียมสื่อสารเท่ากับอัตราเร็วเชิงมุมในการหมุนรอบตัวเองของโลก และการที่ดาวเทียมสื่อสารอยู่ที่ตำแหน่งเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้สถานีภาคพื้นดินและดาวเทียมสามารถติดต่อกันได้ตลอดเวลา
ตัวอย่าง 4.9 โลกหมุนรอบตัวเองเท่ากับ 24 ชั่วโมง รัศมีวงโคจรรอบโลกของดาวเทียมสื่อสารจะต้องเป็นเท่าใดและมีอัตราเร็วเชิงมุมเท่าใด กำหนดให้ นิวตัน เมตร2 ต่อกิโลกรัม2 มวลของโลก5.95 x 1024กิโลกรัม
วิธีทำ
เนื่องจากคาบของดาวเทียมสื่อสารเท่ากับคาบของการหมุนรอบตัวเองของโลก
จาก
ในที่นี้ T = 86,400 s
แทนค่า
จาก
และ
จะได้
แทนค่า
คำตอบ รัศมีวงโคจรรอบโลกของดาวเทียมเท่ากับ เมตร
อัตราเร็วเชิงมุมของดาวเทียมสื่อสารเท่ากับ เรเดียน/วินาที
คำตอบ รัศมีวงโคจรรอบโลกของดาวเทียมเท่ากับ เมตร
อัตราเร็วเชิงมุมของดาวเทียมสื่อสารเท่ากับ เรเดียน/วินาที
การเคลื่อนแบบซิมเปิล์ฮาร์มอนิกส์
รูป 4.23 การเคลื่อนที่ของวัตถุติดสปริงบนพื้นราบ
ในรูป 4.23 วางมวลไว้บนพื้นราบ ผูกวัตถุเข้ากับปลายหนึ่งของสปริงโดยที่อีกปลายหนึ่งของสปริงผูกติดกับผนัง วัตถุจะอยู่นิ่งๆ บนพื้นในตำแหน่งสมดุล เมื่อดึงวัตถุออกจากตำแหน่งสมดุลแล้วปล่อยให้วัตถุเคลื่อนที่บนพื้นราบ วัตถุจะเคลื่อนที่กลับไปกลับมาผ่านตำแหน่งสมดุลและซ้ำเส้นทางเดิมการเคลื่อนที่ในลักษณะนี้มีจำนวนมาก เช่น การสั่นของสายไวโอลินเมื่อถูกสี การสั่นของกลองเมื่อถูกตี การเคลื่อนที่ของวัตถุที่ติดปลายลวดสปริง การเคลื่อนที่ของโมเลกุลอากาศเมื่อเคลื่อนเสียงส่งผ่าน การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในสายอากาศของเครื่องส่งวิทยุ เป็นต้น ปริมาณที่สำคัญอย่างหนึ่งของการเคลื่อนที่ในลักษณะนี้ คือ ความถี่ ซึ่งหมายถึงจำนวนรอบของการเคลื่อนที่ใน 1 วินาที แทนสัญลักษณ์ f มีหน่วยเป็นเฮิรตซ์ (Hz) ซึ่ง 1 Hz =
ความถี่จะเป็นส่วนกลับกับคาบ ดังสมการ (4.13) คาบคือ เวลาในการเคลื่อนที่ครบ 1 รอบ ใช้สัญลักษณ์ T แทนคาบ คาบมีหน่วยเป็นวินาที (s)
(4.13)
การเคลื่อนที่ใดๆ ซึ่งเคลื่อนที่กลับไปมาซ้ำทางเดิม โดยผ่านตำแหน่งสมดุลและคาบของการเคลื่อนที่คงตัว ดังแสดงด้วยกราฟของการเคลื่อนที่ในแนวแกน x ดังรูป 4.24 เรียกว่า การเคลื่อนที่แบบพีริออดิก(periodic motion)
รูป 4.24 กราฟของการเคลื่อนที่แบบพีริออดิก ทางแกน x
การเคลื่อนที่แบบพีริออดิกชนิดหนึ่งที่กราฟของการกระจัดกับเวลาอยู่ในรูปของฟังก์ชันไซน์หรือโคไซน์ความถี่คงที่มีค่าที่แน่นอนค่าเดียว เรียกว่า การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย (simple harmonic motion) นั่นคือ การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายเป็นการเคลื่อนที่แบบพีริออดิกอย่างหนึ่ง อาจจะเรียกย่อๆ ว่า การเคลื่อนที่แบบ SHM การกระจัดทาง x ในรูปฟังก์ชันของเวลา t ของ SHM โดยทั่วไปเขียนเป็นสมการได้เป็น
(4.14)
ซึ่ง , และ เป็นค่าคงตัว
เป็นการกระจัดสูงสุด เรียกว่า แอมพลิจูด (Amplitude)
เป็นความถี่เชิงมุม มีค่าเท่ากับ เมื่อ f เป็นความถี่ หรือเท่ากับเมื่อ T เป็น คาบ (period)
เป็นค่าคงตัวทางเฟส (phase constant) หมายถึงเฟสเริ่มต้น คือค่าเฟสที่เวลาเป็นศูนย์ การเคลื่อนที่จะเป็นรูปไซน์หรือโคไซน์ขึ้นกับค่านี้ ถ้า ก็เป็นรูปโคไซน์ ถ้า ก็เป็นรูปไซน์ เนื่องจากรูปโคไซน์และรูปไซน์ต่างกันที่เฟสเท่านั้น จึงอาจเรียกรวมว่าเป็นฟังก์ชันรูปไซน์
(sinusoidal function)
ในสมการ (4.14) นับเป็นเฟสที่เปลี่ยนไปตามเวลาของการเคลื่อนที่
จากสมการ (4.14) เมื่อเขียนกราฟระหว่างการกระจัดกับเวลา โดยมี ต่างๆ กันการกระจัดที่ตำแหน่งเริ่มต้นจะมีค่าขึ้นกับมุมเฟสเริ่มต้น ดังรูป 4.25
รูป 4.25 กราฟระหว่างการกระจัดกับเวลาของฟังก์ชันรูปไซน์ และ </b>
การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย จึงอาจจะเขียนได้ในรูป
(4.15)
ถ้าอนุภาคเริ่มต้นเคลื่อนที่จากตำแหน่งสมดุล (x = 0) ซึ่งจะมีลักษณะเช่นเดียวกับกราฟของ
สรุปได้ว่า สำหรับ การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย คือการเคลื่อนที่ซึ่งมีการกระจัดเป็นฟังก์ชันของเวลาเป็นฟังก์ชันรูปไซน์
การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายเทียบกับการเคลื่อนที่เป็นวงกลม
ถ้านำดินน้ำมันก้อนโตพอเหมาะติดไว้ที่ขอบวงล้อกลมหรือแผ่นไม้วงกลมซึ่งหมุนได้คล่องในแนวระดับ เมื่อหมุนวงล้อให้อัตราเร็วเชิงมุมสม่ำเสมอ ดินน้ำมันจะเคลื่อนที่ในแนววงกลมด้วยอัตราเร็วสม่ำเสมอด้วย เมื่อฉายลำแสงขนานในแนวระดับไปที่ดินน้ำมัน ดังรูป 4.26 เงาของดินน้ำมันจะปรากฏบนฉากข้างหลัง โดยการเคลื่อนที่ของเงาจะกลับไปกลับมาในแนวตรงเป็นแบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย
รูป 4.26 การฉายแสงผ่านวัตถุที่เคลื่อนที่เป็นวงกลม ปรากฏเงาบนฉากเป็น SHM
เงาบนฉากของวัตถุที่เคลื่อนที่เป็นวงกลม ก็เหมือนกบการคิดองค์ประกอบทาง x ของการเคลื่อนที่ของจุดๆ หนึ่งเป็นวงกลมบนระนาบ xy ดังรูป 4.27 ให้ที่ขณะหนึ่งจุดนั้นอยู่ที่ตำแหน่งมุม หลังจากเคลื่อนที่มาแล้วเป็นเวลา t จากจุดตั้งต้นบนแกน x ดังรูป การเคลื่อนที่เป็นวงกลมที่มีอัตราเร็วสม่ำเสมอ ดังนั้น ถ้าวงกลมมีรัศมี r จะมีองค์ประกอบของตำแหน่งบนแกน x คือ
(4.16)
และองค์ประกอบของความเร็วบนแกน x คือ
(4.17)
รูป 4.27 จุด P เคลื่อนที่เป็นวงกลมอย่างสม่ำเสมอบนระนาบ xy
จากความเร่งในทิศเข้าหาจุดศูนย์กลางมีขนาดเท่ากับ หรือ จะได้องค์ประกอบของความเร่งบนแกน x คือ
(4.18)
จะเห็นว่าตำแหน่งทาง x ในสมการ (4.16) เป็นอย่างเดียวกับสมการ (4.14) เมื่อ เมื่อ เมื่อ เมื่อ ซึ่งเป็นการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย และเมื่อนำมาใช้ในสมการ (4.18) จะทำให้ได้ว่า
(4.19)
สมการ (4.19) แสดงลักษณะสำคัญประการหนึ่งของการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย นั่นคือ การมีความเร่งเป็นปฎิภาคกับการกระจัดแต่มีทิศตรงกันข้าม เนื่องจาก มีค่าคงตัว ทั้งนี้ทิศของความเร่งจะเป็นทิศเดียวกับแรง และแรงจะต้องเป็นแรงเข้าหาจุดสมดุลในขณะที่การกระจัดมีทิศออกไปจากสมดุล
สำหรับการเคลื่อนที่ของดินน้ำมันไปตามแนววงกลม เมื่อเคลื่อนที่ครบ 1 รอบใช้เวลาที่เรียกว่าหนึ่งคาบ (period) หรือ T หนึ่งรอบหมายถึงดินน้ำมันจะเคลื่อนที่ไป เรเดียน ดังนั้นอัตราเร็วเชิงมุม ของการเคลื่อนที่เป็นวงกลมจึงมีค่าเท่ากับ ส่วนเงาของดินน้ำมันที่เคลื่อนที่กลับไปกลับมารอบตำแหน่งสมดุลจะมีความถี่ของการเคลื่อนที่เป็น มีหน่วยเป็นรอบต่อวินาทีหรือเฮิรตซ์ (hertz, Hz) ความถี่เชิงมุม () ของการเคลื่อนที่แบบ SHM มีค่าเป็น ซึ่งมีค่าเหมือนกับอัตราเร็วเชิงมุม และมีหน่วยเป็นเรเดียนต่อวินาทีเช่นเดียวกัน
รูป 4.28 การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของรถติดสปริง
เมื่อดึงรถทดลองให้สปริงยึดและรถออกจากตำแหน่งสมดุลเป็นระยะ A จะได้การกระจัดของรถทดลองมีค่า A และมีแรง ของสปริงดึงรถทดลองไปทางซ้าย ดัง รูป 4.28 ก. แรงนี้เรียกว่า แรงดึงกลับ (restoring force) มีค่าตาม ซึ่งแสดงว่าขนาดและแรงดึงกลับแปรผันตรงกับระระยืดหรือหดของสปริงหรือขนาดการกระจัด แต่แรงดึงกลับ มีทิศตรงข้ามกับการกระจัดโดย k เป็นค่าคงตัวของสปริง
เมื่อปล่อยมือ แรง จะดึงรถทดลองเคลื่อนที่กลับไปทางซ้ายเข้าหาตำแหน่งสมดุลด้วยความเร่งทำให้ความเร็วมีขนาดเพิ่มขึ้นและมีทิศไปทางซ้าย ขนาดของแรงจะลดลง เพราะขนาดการกระจัด ลดลง การเคลื่อนที่เป็นแบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย เมื่อรถทดลองเคลื่อนที่ถึงตำแหน่งสมดุล ขนาดของการกระจัด เป็นศูนย์ ขนาดของและก็เป็นศูนย์แต่ความเร็วของรถทดลองจะมีค่ามากที่สุดและมีทิศไปทางซ้าย ดังรูป 4.28 ค
จากนั้นรถทดลองจะเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งสมดุลไปทางซ้ายต่อไปอีก และอัดลวดสปริงให้หดสั้น ลวดสปริงก็จะออกแรง มีทิศไปทางขวาต้านการเคลื่อนที่ของรถทดลอง ในขณะนี้รถทดลองจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง ที่มีทิศไปทางขวาทำให้ความเร็วรถทดลองลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งความเร็วเป็นศูนย์ ขณะนี้รถทดลองมีการกระจัดค่า – A ดังรูป 4.28 จ แล้วเคลื่อนที่ต่อไปดังรูปซึ่งเป็นการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย เราอาจเขียนกราฟของการกระจัดกับเวลาของการเคลื่อนที่ของรถทดลองในรูป 4.28 ได้ดังรูป 4.29
รูป 4.29 กราฟของการกระจัดของเวลาสำหรับหนึ่งรอบของการเคลื่อนที่
เมื่อพิจารณาการเคลื่อนที่ของรถทดลองติดปลายสปริงที่เคลื่อนที่ แรงที่สปริงกระทำต่อรถทดลองจะมีค่าเป็น F = – kx ถ้าให้ m เป็นมวลของรถทดลอง และ a เป็นความเร่งของรถทดลอง จากกฎการเคลื่อนที่ข้อที่ 2 ของนิวตัน
จะได้ F = ma = – kx
และ (4.20)
นั่นคือ การเคลื่อนที่ของรถทดลองติดสปริงเป็นการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่าง่ายเช่นเดียวกับการเคลื่อนที่ของเงาของดินน้ำมัน มีความเร่งแปรผันตรงกับการกระจัด แต่มีทิศตรงกับข้าม
เทียบสมการ ( 4.20) กับสมการ (4.19) จะเห็นว่า ความเร่งคือ
ดังนั้น
(4.21)
ความถี่เชิงมุมของการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย มีความสัมพันธ์กับค่าคงตัวของสปริง และมวลของวัตถุที่ติดกับสปริง ดังสมการ 4.21
การแกว่งของลูกตุ้มอย่างง่าย
ลูกตุ้มอย่างง่ายคือ ลูกตุ้มที่ประกอบด้วยมวลขนาดเล็ก ตามอุดมคติเป็นจุด แขวนที่ปลายด้ายหรือเชือกอ่อน โดยธรรมชาติวัตถุแขวนห้อยในแนวดิ่งเป็นตำแหน่งสมดุล เมื่อดึงวัตถุให้เอียงทำมุมเล็กๆ กับแนวดิ่งแล้วปล่อยให้วัตถุเคลื่อนที่แกว่งกลับไปมา ซึ่งจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย
รูป 4.30 ขณะเส้นเชือกเอียงทำมุมกับแนวดิ่งมีแรงกระทำเข้าหาจุดสมดุล
ขณะที่ปล่อยลูกตุ้มมวล m ซึ่งผูกกับเส้นเชือกยาว เอียงเป็นมุม เรเดียนกับแนวดิ่ง
ลูกตุ้มมวล m จะมีแรงสองแรงกระทำต่อมวล m คือ น้ำหนักของลูกตุ้ม mg และแรงดึงในเส้นเชือก T ซึ่งทำมุมเรเดียนกับแนวดิ่ง ดังรูป 4.32 สองแรงนี้รวมกันได้แรงลัพธ์เป็น ตามแนวเส้นสัมผัสซึ่งตั้งฉากกับเส้นเชือก
เนื่องจากแรง mg สามารถคิดแยกออกเป็น 2 แรงในแนวตั้งฉากกัน ดังรูป จะเห็นว่าแรง เป็นแรงที่ดึงมวล m กลับสู่ตำแหน่งสมดุล ให้แรงนี้เป็นแรง F ขณะที่ มีขนาดเท่ากับ T ทำให้เชือกตึงยาวเท่าเดิม เมื่อคำนึงถึงทิศด้วย แรงลัพธ์ F คือ
ถ้ามุม เป็นมุมเล็กๆ การเคลื่อนที่โค้งประมาณได้ว่าเป็นเส้นตรง คือการกระจัด x และ จะได้
จากกฎการเคลื่อนที่ข้อที่สองของนิวตัน F = ma
จะได้
จะเห็นว่า ความเร่งของลูกตุ้มแปรผันตรงกับการกระจัด และมีทิศตรงกันข้ามการแกว่งของลูกตุ้มจึงเป็นการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายด้วย
เนื่องจากอัตราเร่งของการแกว่ง
ดังนั้น
จาก จะได้ (4.22)
หรือ (4.23)
สมการ (4.23) อาจนับว่าเป็นสมการที่ทำนายคาบของลูกตุ้มอย่างง่ายจากที่ได้วิเคราะห์มาตามหลักการของการเคลื่อนที่ที่ต้องเป็นไปตามกฎของนิวตัน คาบของการแกว่งจริงจะเป็นอย่างไร จะศึกษาจากการทดลองดังภาคการทดลองต่อไป
การทดลองและกิจกรรม
การทดลอง 4.1 การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์
จุดประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะของการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์
วิธีการทดลอง
รูป 4.31 การติดตั้งอุปกรณ์การทดลอง 4.1
ตอนที่ 1 จัดตั้งอุปกรณ์
ประกอบรางอะลูมิเนียมเข้ากับแป้นไม้ ให้รางตอนล่างอยู่ในแนวระดับ แล้วติดกระดาษกราฟเข้ากับแป้นไม้ ดังรูป 4.31
ตัดกระดาษขาวและกระดาษคาร์บอนขนาดกว้างยาวเท่ากับแผ่นโลหะที่ใช้เป็นเป้าและปิดกระดาษขาวเข้ากับเป้า แล้วปิดกระดาษคาร์บอนทับกระดาษขาวโดยยึดติดเฉพาะปลายบนของกระดาษคาร์บอน จากนั้นวางเป้าให้ชิดปลายรางอะลูมิเนียมและด้านยาวของเป้าทาบบนเส้นทึบของกระดาษกราฟให้พอดี
ตอนที่ 2 หาเส้นทางการเคลื่อนที่
วางลูกกลมโลหะบนรางอะลูมิเนียมซึ่งใกล้ปลายรางตอนบน โดยถือไม้บรรทัดกั้นลูกกลมโลหะไว้ ยกไม้บรรทัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ลูกกลมโลหะจะกลิ้งลงมาตามรางเข้าชนเป้าเมื่อยกปลายล่างของกระดาษคาร์บอนขึ้น จะเห็นจุดดำบนกระดาษขาว ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ลูกกลมโลหะชนเป้า ทำเครื่องหมายบนกระดาษกราฟให้มีระดับตรงกับจุดดำบนเป้า ทำการทดลองซ้ำ แต่ละครั้งที่ทดลองต้องวางลูกกลมโลหะที่ตำแหน่งเดิมแต่เลื่อนเป้าออกไปครั้งละ 1 เซนติเมตร จนกระทั่งลูกกลมโลหะไม่กระทบเป้า
เมื่อทดลองเสร็จแล้ว ให้ลากเส้นผ่านจุดทุกจุดบนกระดาษกราฟ จะได้กราฟเป็นเส้นทางการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ของลูกกลม
ตอนนที่ 3 การวิเคราะห์โดยการเขียนกราฟ
กำหนดให้จุดบนกราฟจุดแรกซึ่งตรงกับจุดที่ลูกกลมโลหะกระทบเป้าเมื่อวางชิดปลายรางด้านล่างเป็นจุดกำเนิด ลากแกนนอนหรือแกน x และแกนยืนหรือแกน y จากกราฟที่ได้วัดการกระจัดในแนวระดับ x และการกระจัดในแนวดิ่ง y ของจุดต่างๆ พร้อมทั้งหาค่าการกระจัดในแนวระดับกำลังสอง x2 ออกแบบตารางและบันทึกผลลงในตาราง เขียนกราฟระหว่างการกระจัดในแนวดิ่ง y กับการกระจัดในแนวระดับกำลังสอง x2
– เพราะเหตุใด ต้องปล่อยลูกกลมโลหะจากตำแหน่งเดียวกันทุกครั้ง
– แนวการเคลื่อนที่ของลูกกลมโลหะจากกระดาษกราฟบนแป้นไม้มีลักษณะอย่างไร
– จากกราฟระหว่างการกระจัดในแนวดิ่ง y กับการกระจัดในแนวระดับกำลังสอง
จะสรุปลักษณะของแนวการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ว่าเป็นแนวโค้งแบบใด
การทดลอง 4.2 คาบของการเคลื่อนที่แบบวงกลม
จุดประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคาบและแรงสู่ศูนย์กลางของการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนววงกลมในระนาบระดับเมื่อรัศมีคงตัว
วิธีทดลอง
รูป 4.32 การจัดอุปกรณ์การทดลองการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนววงกลม
ใช้ชุดทดลองการเคลื่อนที่ในแนววงกลม ให้วัดระยะจากจุดกึ่งกลางของจุกยางตามแนวเส้นเชือกออกไปถึงปลายบนของหลอดพีวีซี ยาว 60 เซนติเมตร และใช้ลวดหนีบกระดาษหนีบเส้นเชือกห่างจากปลายล่างของหลอดพีวีซี ประมาณ 1 เซนติเมตร ใช้นอตแขวนที่ขอเกี่ยวโลหะ 2 ตัว ดังรูป 4.32 โดยใช้น้ำหนักของนอตประมาณเท่าๆ กัน และน้ำหนักของนอต 1 ตัว แทนแรงขนาด 1F จับทอพีวีซีแกว่งให้จุกยางเคลื่อนที่ในแนววงกลมในระนาบระดับด้วยความถี่พอดีที่ทำให้ลวดที่หนีบเส้นเชือกอยู่ห่างจากปลายล่างของหลอดพีวีซีประมาณ 1 หรือ 2 เซนติเมตรและไม่เลื่อนขึ้นหรือลง จับเวลาการเคลื่อนที่ของจุกยางครบ 30 รอบ แล้วนำมาคำนวณหาคาบ T ของการเคลื่อนที่ของจุกยาง ทำการทดลองซ้ำโดยเพิ่มจำนวนนอตเป็น 3,4,5 และ 6 ตัว ซึ่งจะทำให้ขนาดของแรงดึงในเส้นเชือกเป็น 3F 4F 5F และ 6F ตามลำดับ บันทึกขนาดของแรงดึงในเส้นเชือก F คาบของการแกว่ง T และส่วนกลับของคาบ การแกว่งกำลังสอง ลงในตาราง เขียนกราฟระหว่างขนาดแรงดึงในเส้นเชือก F กับส่วนกลับของคาบกำลังสองแกว่ง
– เมื่อขนาดของแรงดึงในเส้นเชือกเพิ่มขึ้น ช่วงเวลาในการเคลื่อนที่ครบรอบของจุกยางเป็นอย่างไร
– กราฟระหว่างขนาดแรงดึงในเส้นเชือก F กับส่วนกลับของคาบกำลังสอง มีลักษณะอย่างไร และจะสรุปความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณทั้งสองได้อย่างไร
– จากความสัมพันธ์ระหว่าง F กับจะสรุปความสัมพันธ์ระหว่างแรงดึงในเส้นเชือก F
อัตราเร็วของจุกยางกำลังสอง ได้อย่างไร
– แรงดึงในเส้นเชือกเป็นแรงสู่ศูนย์กลางของจุกยางได้หรือไม่ อย่างไร
การทดลอง 4.3 การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของรถทดลองซึ่งติดอยู่กับสปริง
จุดประสงค์ เพื่อศึกษาการกระจัดและความเร็วของรถทดลองซึ่งเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายในช่วงเวลาครึ่งคาบ
วิธีทดลอง
กดปลายหนึ่งของลวดสปริงกับขอบรางไม้ อีกปลายหนึ่งของลวดสปริงยึดติดกับรถทดลอง ติดแถบกระดาษกับรถทดลองแล้วสอดผ่านเครื่องเคาะสัญญาณเวลา ดึงรถทดลองออกห่างจากตำแหน่งสมดุล 6 เซนติเมตร กดสวิตช์ที่หม้อแปลงให้เครื่องเคาะสัญญาณเวลาทำงาน จากนั้นปล่อยมือให้รถทดลองเคลื่อนที่ เมื่อรถทดลองเริ่มเคลื่อนที่สวนกลับทางเดิม ให้ปิดสวิตช์
นำแถบกระดาษมาหาค่าการกระจัดของรถทดลอง โดยวัดจากตำแหน่งสมดุล และหาความเร็วที่เวลาต่างๆ ตลอดการเคลื่อนที่ กำหนดให้ปริมาณที่มีทิศไปทางขวามีเครื่องหมายบวก และปริมาณที่มีทิศไปทางซ้ายมีเครื่องหมายลบ เขียนกราฟระหว่างการกระจัดกับเวลาและความเร็วกับเวลา โดยให้เวลาเป็นแกนนอน
– พิจารณากราฟการกระจัดกับเวลา เปรียบเทียบกับกราฟความเร็วกับเวลา
1. ณ เวลาที่การกระจัดเป็นศูนย์ ความเร็วของรถทดลองเป็นอย่างไร
2. เวลาที่การกระจัดมากที่สุด ความเร็วของรถทดลองเป็นอย่างไร
– กราฟการกระจัดกับเวลา และกราฟความเร็วกับเวลาเป็นกราฟที่ได้จากการเคลื่อนที่ของ รถทดลองกี่รอบ
การทดลอง 4.4 ลูกตุ้มอย่างง่าย
วัตถุประสงค์ เพื่อหาค่าความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก g
วิธีทดลอง
รูป 4.33 แสดงการจัดอุปกรณ์ทดลอง
ใช้นอตขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.0 เซนติเมตร เป็นลูกตุ้มอย่างง่าย ผูกสายเอ็นยาวประมาณ 1 เมตรกับลูกตุ้ม ดังรูป 4.33 ใช้ไม้หนีบ (สำหรับหนีบเสื้อ) หนีบใกล้อีกปลายหนึ่งของเส้นเอ็น ยึดไม้หนีบกับขอบโต๊ะ (อาจใช้หนังสือหนักทับ) ให้ลูกตุ้มห้อยอยู่ในแนวดิ่ง ความยาวของเส้นเอ็น () ให้วัดจากจุดล่างของที่หนีบถึงจุดศูนย์กลางของลูกตุ้ม
แกว่งลูกตุ้ม และจับเวลาการแกว่งเพื่อหาคาบ (T) โดยให้เปลี่ยนค่าความยาวของเส้นเอ็น รวม 6 ค่า การจับเวลาแต่ละครั้งให้จับเวลาเมื่อลูกตุ้มแกว่งครบ 30 รอบ 3 ครั้ง หาค่าเฉลี่ยของเวลาครบ 30 รอบ แล้วจึงหาคาบ จากนั้นเขียนกราฟระหว่าง กับ โดยให้ อยู่บนแกนตั้ง อยู่บนแกนนอน (ทำไมจึงควรเขียนกราฟระหว่าง กับ)
– จากกราฟ กับ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร และความสัมพันธ์นี้มีความหมายย่างไร กับ
– หาค่า g จากความชันของกราฟ และประมาณความคลาดเคลื่อนที่เป็นไปได้ ค่า g ที่ได้จากการ
ทดลองเป็นเท่าใด